ขายยาเพิ่มขนาด ยานอนหลับ ยาสลบ สนใจศึกษาข้อมูลก่อนครับ
การวัดขนาดองคชาต การใช้ยาเพื่อเพิ่มขนาด [แก้]
ขายยาเพิ่มขนาด ก่อนซื้อลองอ่านดูครับ การวัดขนาดองคชาตแต่ละคนให้แม่นยำที่สุด ควรมีการวัดในเวลาที่แตกต่างกันของการแข็งตัว จำนวนหลาย ๆ วัน จากนั้นก็หาค่าเฉลี่ยด้วยกัน เพื่อสร้างบัญชีขนาดที่อาจเกิดจากความหลากหลายในธรรมชาติ และปัจจัยต่าง ๆ ของการแข็งตัว อย่างเช่น ระดับความยั่วยวนอารมณ์, เวลาของวัน, อุณหภูมิห้อง, ความถี่ของกิจกรรมทางเพศ และความคลาดเคลื่อนของวิธีวัด[4][5] อวัยวะจะเพิ่มขนาดแค่ไหนครับ
ขนาดความยาววัดได้จาก การวัดขณะยืนโดยให้องคชาตขนานไปกับพื้นห้อง โดยวัดจากหัวองคชาตถึงส่วนโคนรวมถึงส่วนลาดเอียง ผลการวัดอาจคลาดเคลื่อนถ้าวัดจากด้านใต้ขององคชาต หรือถ้านั่งอยู่หรือหมอบ[4] ส่วนการวัดเส้นรอบวงวัดจากการขยายตัวเต็มที่ขององคชาต โดยวัดในสามตำแหน่งคือ ส่วนหัว ,ส่วนกลาง และส่วนโคน[4] ซึ่งสำคัญในการใช้ยาเพิ่มขนาด
องคชาตจะต้องแข็งตัวอย่างเต็มที่ที่สุด เพื่อที่จะทำการวัดอย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งอาจเป็นการยากที่จะทำในเชิงปฏิบัติ อย่างน้อยครั้งหนึ่งเคยมีแพทย์ชาวบราซิลได้ทำการฉีดยาไปที่องคชาตเพื่อให้แข็งตัวเต็มที่ และก็ได้ผลที่สอดคล้องกัน[6] แพทย์บางคนวัดองคชาตโดยการยืดส่วนที่หย่อนยานขององคชาตให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้[7] ส่วนการวัดด้วยตัวเองมักจะเชื่อถือไม่ได้เพราะคนมักจะรายงานขนาดอวัยวะเพศให้ใหญ่เกินความจริง[8] คนไทยส่วนใหญ่ใช้ยาเพิ่มขนาด ร้อยละ 30%
การศึกษาขนาดองคชาต [แก้]
ขณะที่ผลจากการศึกษามีความหลากหลาย แต่
ความเห็นสวนใหญ่คิดว่าขนาดความยาวองคชาตมนุษย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 12.9–15 ซม. (5.1–5.9 นิ้ว) กับ ช่วงความเชื่อมั่น (Confidence interval) 95% ของ (10.7 ซม., 19.1 ซม.) (หรือ 4.23 นิ้ว, 7.53 นิ้ว)[9][10][11] และการขยายตัวและเส้นรอบวงประมาณ 12.3 ซม. (4.85 นิ้ว) ขณะแข็งตัวเต็มที่ โดยเฉลี่ยแล้วค่าเฉลี่ยขนาดองคชาตค่อนใหญ่กว่าขนาดมัธยฐาน (หรือพูดอีกทางหนึ่งคือ องคชาตส่วนใหญ่อยู่ใต้ขนาดเฉลี่ย)
ความยาวตอนแข็งตัว ในการใช้ยาเพิ่มขนาด [แก้]
นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้แสดงการศึกษาขนาดความยาวตอนแข็งตัวของผู้ใหญ่ การศึกษามาจากการวัดขนาดด้วยตัวเอง รวมถึงการรวบรวมข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต มีความเห็นของรายการว่า การใช้ยาเพิ่มขนาด จึงมีการขายยาเพิ่มขนาดกันมากยิ่งขึ้น
ทีมงานวัดที่ทำการศึกษาได้ทำการศึกษาจากกลุ่มประชากรที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุเฉพาะช่วงหนึ่ง หรือการเลือกกลุ่มผู้ใช้ยาเกี่ยวกับเพศ หรือการเลือกด้วยตัวเอง ซึ่งก็อาจได้ผลตัวอย่างที่ลำเอียงได้[13][12]
- การศึกษาจากสิ่งพิมพ์เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1996 ใน Journal of Urology สรุปไว้ว่าค่าเฉลี่ยความยาวอยู่ที่ 12.9 ซม. (5.08 นิ้ว) (วัดโดยทีมงาน)[9] จุดประสงค์ของการศึกษาเพื่อหาขนาดมาตรฐานขององคชาตทั้งความยาวและเส้นรอบวงเพื่อผู้ที่พิจารณาต้องการขยายขนาดองคชาต โดยการใช้ยาเร่งในผู้ชายอเมริกันทั่วไป 80 คน (แตกต่างด้านเชื้อชาติ อายุเฉลี่ย 54 ปี) โดยได้ข้อสรุปว่า "ไม่ว่าจะอายุหรือขนาดเท่าไหร่ องคชาตที่หย่อนยานก็สามารถเพิ่มขนาดองคชาตได้"
- การศึกษาจากสิ่งพิมพ์เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 ใน International Journal of Impotence Research พบว่าค่าเฉลี่ยขององคชาตแข็งตัวของชาวยิว-คอเคเซียน 50 คน อยู่ที่ 13.6 ซม. (5.35 นิ้ว) (วัดโดยทีมงาน)[10] โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษา "การระบุทางการแพทย์เกี่ยวกับปัจจัยของการหดตัวขององคชาตเพื่อคาดเดาขนาดการขยายตัวขององคชาต" มีการใช้ยาเร่งทั้ง 50 คน กับผู้ที่ได้รับการประเมินซ่าเคยบกพร่องในการแข็งตัว (อายุเฉลี่ย 47±14 ปี) ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางองคชาตหรือทางจิตจากข้ามไปในการศึกษาครั้งนี้
- การศึกษาของ LifeStyles Condoms พบว่า ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 14.9 ซม. (5.9 นิ้ว) และอาจมีการคลาดเคลื่อนไปได้ 2.1 ซม. (0.8 นิ้ว) (วัดโดยทีมงาน)[11] จุดประสงค์ของการศึกษาเพื่อหาขนาดที่เหมาะสมของถุงยางอนามัย นักศึกษาจำนวน 401 คนอาสาทำการวัดในระหว่างงานสปริงเบรกปี 2001 ที่แคนคูน ประเทศเม็กซิโก ซึ่งมีจำนวน 300 คนที่ไม่ใช้ยาในการช่วยแข็งตัว ซึ่งผลจากการวัดทั้ง 300 ทำให้ต้องศึกษาเรื่องขนาดเพิ่มเนื่องจากการวัดที่ผ่านมาจะใช้ยาเพื่อวัดขนาด[14]
เส้นรอบวงตอนแข็งตัว [แก้]
การรับประทานยาเพิ่มขนาด การศึกษาของ The Cancún LifeStyle พบว่าเส้นรอบวงเฉลี่ยที่ 12.6 ซม. (5.0 นิ้ว) อาจคลาดเคลื่อนที่ 1.3 ซม. (0.5 นิ้ว)[11] คล้ายการสำรวจทั่วไปของการวัดเส้นรอบวงขององคชาตขณะแข็งตัว โดยการวัดที่ตรงส่วนกลางขององคชาต ซึ่งความยากมาจากการศึกษาการวัดด้วยตัวเองซึ่งผลการรายงานอาจมากเกินไปกว่าที่ทีมงานวัดให้
ความยาวตอนยังไม่แข็งตัว [แก้]
จากการศึกษาความยาวองคชาตขณะยังไม่แข็งตัว มีค่าความยาวที่ 3.5 นิ้ว (8.9 ซม.) (วัดโดยทีมงาน)[9] ความยาวขณะยังไม่แข็งตัวไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับขณะแข็งตัว องคชาตสั้นเมื่อหดตัวอาจขยายตัวอย่างมากก็ได้ หรือองคชาตที่ใหญ่กว่าขณะหดตัวอาจไม่ขยายตัวได้มากก็ได้การใช้ยาเพิ่มขนาดจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ขายยานอนหลับ
ฟังชื่อยานอนหลับแล้วก็รู้ว่า ยานี้มีสรรพคุณ “ทำให้นอนหลับ” แต่จริง ๆ แล้ว ยานอนหลับไม่ได้ทำให้นอนหลับอย่างเดียว แต่ยังมีฤทธิ์อื่น ๆ อีกมากมาย จึงมีกฎหมายบังคับให้การจำหน่ายยาเหล่านี้กระทำได้ก็ต่อเมื่อมีใบสั่งจากแพทย์
คำว่า “ยานอนหลับ" นั้นที่จริงเป็นชื่อกว้าง ๆ ซึ่งรวมยาไว้หลายกลุ่มหลายชนิด มีสรรพคุณแตกต่างกันในรายละเอียดมากยาบางกลุ่มก่อให้เกิดอาการติดยาได้มาก มีฤทธิ์ยาว ทำให้มีอาการ "ค้าง" ในเวลากลางวัน กล่าวคือรู้สึกซึมเซา ไม่แจ่มใสปวดศีรษะ แต่ยาบางกลุ่มกลับไม่มีปัญหานี้เพราะฤทธิ์ยาสั้นยาบางชนิดมีผลต่อหัวใจและตับมากกว่าตัวอื่น ๆ ทำให้บุคคลที่มีโรคเหล่านี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การจะหาซื้อยานอนหลับมาใช้ด้วยตนเองนั้นเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
หลักการใช้ยานอนหลับ ยานอนหลับที่ดีควรจะทำให้หลับได้ง่าย หลับเหมือนธรรมชาติ ไม่รบกวนการทำงานในเวลากลางวัน ไม่ก่อให้เกิดการติดยา สามารถหยุดยาได้ง่าย และไม่ไปรบกวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งราคาก็ไม่ควรแพงด้วย แต่สรุปแล้วไม่มียานอนหลับตัวใดที่มีคุณสมบัติข้างต้นครบถ้วน ดังนั้นในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ก็ควรมีหลักบางประการ โดยแบ่งเป็นสองกรณี คือ เมื่อจำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น และใช้ในระยะยาว
การใช้ระยะสั้น ใช้สำหรับผู้ที่นอนไม่หลับเฉพาะหน้า เช่น คนไข้หลังผ่าตัด อาจมีอาการนอนไม่หลับไป ๒-๓ วัน ผู้ป่วยที่นอนไม่หลับก่อนผ่าตัดเพราะความกระวนกระวาย การค้างคืนบนรถยนต์โดยสาร หรือการเดินทางข้ามคืนโดยเครื่องบินความกังวลตื่นเต้นก่อนสอบ เป็นต้น
ในภาวะดังกล่าว อาจซื้อยาที่มีฤทธิ์ข้างเคียงในการทำให้ง่วงจากร้านขายยาทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะยาแก้แพ้ประเภทคลอเฟนิลามีน (Chlorphenilamine) หรือ ไดเฟนฮัยดรามีน (Diphenhydramine) ยาเหล่านี้มิใช่ยานอนหลับโดยตรง เพียงแต่ทำให้ง่วงและหลับง่ายขึ้น รบกวนกลไกการนอนหลับน้อย มีฤทธิ์สั้น และไม่ทำให้เสพติด ทั้งยังหาซื้อง่าย (โดยถูกต้องตามกฎหมาย) และราคาถูกด้วย
การใช้ระยะยาว ในจำนวนผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยานอนหลับนั้น มีอยู่ไม่มากนักที่ต้องใช้ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานหลาย ๆ สัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือนแรมปี และการใช้ยาควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตใจที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ ได้
ผู้ใดก็ตามที่จะใช้ยานี้หรือกำลังใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันนาน ๆ ควรตระหนักถึงความเป็นจริง ๔ ประการต่อไปนี้ คือ
- ยานอนหลับเป็นการแก้อาการปลายเหตุเท่านั้น ท่านจะต้องได้รับการหาสาเหตุที่แท้จริงและแก้ไขให้ตรงจุด
- ยานอนหลับเมื่อใช้ไปนาน ๆ จะทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง และภายหลังตื่นนอนก็อาจไม่สดชื่น
- ยานอนหลับจะลดประสิทธิภาพตามเวลาที่ใช้ ทำให้ต้องเพิ่มขนาดยาขึ้น
- ผลที่สุดทำให้ติดยาได้
- ยานอนหลับเป็นการแก้อาการปลายเหตุเท่านั้น ท่านจะต้องได้รับการหาสาเหตุที่แท้จริงและแก้ไขให้ตรงจุด
- ยานอนหลับเมื่อใช้ไปนาน ๆ จะทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง และภายหลังตื่นนอนก็อาจไม่สดชื่น
- ยานอนหลับจะลดประสิทธิภาพตามเวลาที่ใช้ ทำให้ต้องเพิ่มขนาดยาขึ้น
- ผลที่สุดทำให้ติดยาได้
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ขายยาสลบ
การให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไปหรือการวางยาสลบ
|
การให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไปหรือการวางยาสลบ เทคนิคในการทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวจำเหตุการณ์ไม่ได้ ไม่รู้สึก
เจ็บปวดและกล้ามเนื้อคลายตัวเพื่อทำให้ศัลยแพทย์สามารถทำการผ่าตัดได้ การวางยาสลบจะเริ่มจากการที่ให้ยานำสลบผ่านทาง สายน้ำเกลือหรือการสูดดมยาสลบผ่านทางหน้ากากจากนั้นจะทำการควบคุมระดับยาสลบให้เพียงพอ ติดตามการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายพร้อมทั้งป้องกันหรือแก้ไขภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด เมื่อการผ่าตัดใกล้เสร็จสิ้นจะทำการลดระดับยาสลบ เพื่อให้ผู้ป่วย ตื่นรู้สึกตัว |
การดูแลเตรียมตัวก่อนให้ยาระงับความรู้สึก
ปรกติผู้ป่วยจะได้พบทีมวิสัญญีเพื่อตรวจร่างกายสอบถามข้อมูลที่สำคัญ ผู้ป่วยจะต้องบอกประวัติสุขภาพทั้งอดีตและปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย - ประวัติโรคประจำตัวที่ท่านเป็นอยู่ ซึ่งบางโรคอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายในระหว่างการให้ยาสลบได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาที่ได้รับ - ประวัติการใช้ยา เช่น ยารักษาโรคความดัน โรคหัวใจ หอบหืด ยาเบาหวาน ยาหยอดตาสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อหิน เพื่อว่า แพทย์จะได้ดูแลรักษาท่านอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ - การมีเลือดประจำเดือนในผู้ป่วยหญิง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย เพราะการมีประจำเดือนผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจาก สูญเสียเลือดบางส่วนและการผ่าตัดที่ทำให้เสียเลือด แพทย์อาจจะต้องเลื่อนการผ่าตัด - ประวัติการแพ้ยา เคยรับประทานยา ฉีดยาชนิดใดแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น มีผื่นขึ้นตามตัว หน้ามืด เป็นลมหรือมีอาการช็อก เป็นต้น - ประวัติการได้รับยาสลบครั้งก่อนแล้วมีปัญหา เช่น คลื่นไส้อาเจียนมาก,ตัวเหลืองหลังดมยาสลบ - ประวัติการตั้งครรภ์ควรบอกให้แพทย์ทราบทุกครั้งว่าท่านกำลังตั้งครรภ์หรือสงสับว่าอาจกำลังตั้งครรภ์ขณะที่ต้องเข้ารับ การผ่าตัด - ประวัติการเสียชีวิตขณะเข้ารับการผ่าตัด ที่ไม่ทราบสาเหตุของญาติพี่น้องสายตรง เพราะเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีผลกระทบ ต่อยาดมสลบได้ จากนั้นผู้ป่วยอาจจะได้รับการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือ x-ray เพิ่มเติม อาจจะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทาง สาขาอื่นๆ เช่น อายุรแพทย์ หทัยแพทย์ หลังจากประมวลข้อมูลทั้งหมดของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะได้รับการแบ่งสภาพความแข็งแรงของร่างกาย ออกเป็นแบบต่างๆ ซึ่งจะบ่งบอกถึงความเสี่ยงของตัวผู้ป่วย ในบางกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่มีความพร้อม อาจจะต้องได้รับการเลื่อนผ่าตัด ออกไปก่อน ส่วนผู้ป่วยที่มีความพร้อมผู้ป่วยจะได้รับการแจ้งข้อมูลทั่วไปเรื่องการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดซึ่งประกอบด้วย - ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม เป็นอาหารเย็นของวันก่อนผ่าตัด - หลังเที่ยงคืนให้งดอาหารทุกชนิด(จำเป็นต้องงดอาหารประมาณ 6-8 ชั่วโมง ก่อนเข้าห้องผ่าตัด เพื่อป้องกัน การสำลักอาหาร เข้าปอด ซึ่งจะทำให้เกิดปอดอักเสบและเป็นอันตรายถึงเสียชีวิต) - สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ 30 ซีซี ก่อน 6.30 น. ของเช้าวันผ่าตัดหรือก่อนเข้าห้องผ่าตัด 2 ชั่วโมง (ในผู้ป่วยเด็กการคำนวณให้ น้ำเปล่า = 0.5 ซีซี x น้ำหนัก (kg.) เช่นเด็กน้ำหนัก 10 กิโลกรัมให้ดื่มน้ำเปล่าได้ 5 ซีซี) - อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด สระผม ตัดเล็บ เพราะหลังผ่าตัดจะทำความสะอาดร่างกายยาก ไม่ทาแป้ง ไม่ทาลิปสติก ล้างสีเล็บออกให้เรียบร้อยเพราะสีของริมฝีปาก สีของเล็บจะบ่งบอกถึงระดับออกซิเจนในกระแสเลือด สีของเล็บที่ทาไว้จะมีรบกวน การแปลผลของเครื่องตรวจปริมาณความเข้มข้นของออกซิเจนในกระแสโลหิต - ควรใส่เสื้อผ้าหลวมสบายและควรถอดชุดชั้นในออกด้วย - ถอดเครื่องประดับ เช่น ตุ้มหู สร้อยคอ ตุ้มที่ใส่ลิ้น กิ๊บติดผม ผ้ายันต์ แหวน เพราะเครื่องประดับที่เป็นโลหะจะมีปัญหากับ อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องผ่าตัดและอาจเกิดแผลไฟไหม้บริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับเครื่องประดับโลหะได้ - ของมีค่าต่าง ๆ ไม่ควรนำติดตัวไปห้องผ่าตัด ควรฝากไว้ที่ญาติหรือพยาบาลประจำตึก เพื่อป้องกันการสูญหาย ฟันปลอม ควรถอดออกก่อนเข้าห้องผ่าตัด เพื่อป้องกันการหลุดลงไปในหลอดลมขณะดมยาสลบ - นอกจากนี้ผู้ป่วยยังสามารถสอบถามขั้นตอนต่างๆที่ผู้ป่วยจะประสพพบ รวมทั้งคำถามต่างๆที่ผู้ป่วยสงสัย |
การดูแลเตรียมตัวเช้าวันผ่าตัดและการให้ยาระงับความรู้สึก
ในเช้าของวันผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการให้น้ำเกลือที่บริเวณมือหรือแขนคุณสามารถชมการให้น้ำเกลือได้โดยการเลือกกดปุ่มนี้ vdo เมื่อมาถึงห้องผ่าตัดจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของตัวผู้ป่วย เอกสารต่างๆ รวมทั้งตรวจเช็คความพร้อมของตัวผู้ป่วยอีกครั้ง โดยทีมวิสัญญีและพยาบาลประจำห้องผ่าตัด เมื่อผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัดแล้วผู้ป่วยจะได้รับการติดเครื่องมืออุปกรณ์ทางวิสัญญีเพื่อที่จะ ดูแลท่านระหว่างที่ท่านได้รับการผ่าตัด เช่น - การวัดความดันต่อเนื่องอย่างน้อย 5 นาทีต่อครั้ง - การตรวจคลื่นหัวใจและอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลา - ปริมาณความเข้มข้นของออกซิเจนในกระแสโลหิตตลอดเวลา - การเฝ้าระวังอุณหภูมิของร่างกาย - ปริมาณค่าคาร์บอนไดออกไซด์จากลมหายใจออก - จำนวนปริมาณยาสลบที่ผู้ป่วยได้รับ - ปริมาณปัสสาวะต่อชั่วโมง - ความลึกของการสลบ - ปริมาณการสูญเสียโลหิต - ปริมาณสารน้ำ แ ละโลหิตที่ ทดแทน การติดตามดูแลดังกล่าวเป็นไปเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย และจะใช้ในการผ่าตัดทั่วไปแต่ถ้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ๆ เช่นการผ่าตัดสมอง หัวใจอาจจะต้องมีการใช้อุปกรณ์ติดตามดูแลมากกว่านี้ ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้สูดออกซิเจนผ่านทางหน้ากากเพื่อเตรียมพร้อมในการสลบ ได้รับยานำสลบผ่านทางสายน้ำเกลือ เพียงชั่วขณะเดียวผู้ป่วยก็จะสลบไป ท่านจะตื่นอีกครั้งหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น โดยอาจจะยังมีท่อช่วยหายใจอยู่ในปาก ผู้ป่วยบางครั้ง อาจจะยังสบสนขณะตื่น ถ้าท่านรู้สึกตัวดีแล้วกรุณาอย่าดิ้นหรือลุกจากเตียงเพราะอาจทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บจากการตกเตียง สำหรับการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไปหรือการให้ยาสลบโดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อ ช่วยหายใจและการให้ยาสลบ โดยการใช้เครื่องมือช่วยใส่ท่อหายใจ นำท่อหายใจใส่เข้าหลอดลม ดังรูปภาพ สำหรับท่านที่สนใจชมการใส่ท่อช่วยหายใจสามารถ กดปุ่มนี้ชม VDOได้ ในบางกรณีเช่นในการผ่าตัดแบบช่วงสั้นๆหรือการผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอกท่านอาจจะได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจแบบที่เรียกว่า หน้ากากครอบกล่องเสียง (Laryngeal Mask Airway) ท่านสามารถชมสาธิตการใส่ท่อช่วยหายใจแบบนี้ได้ โดยการกดปุ่มนี้ |
เครื่องดมยาสลบและอุปกรณ์ติดตามระบบการทำงานของร่างกายระหว่างการผ่าตัด
การให้ยาระงับความรู้สึกเป็นหัตถการที่ค่อนข้างจะมีความยุ่งยาก ซับซ้อน(บ้างแต่ก็ไม่มาก) เปรียบเหมือนการขับเครื่องบินที่จะต้อง มีอุปกรณ์ช่วยในการบิน สามารถวัดระดับความสูง ติดตามการทำงานของเครื่องยนต์ การให้ยาระงับความรู้สึกก็เป็นเช่นเดียวกันจำเป็นต้อง มีอุปกรณ์การให้ยาสลบ ระบบการตรวจสอบการตอบสนองของร่างกาย ระบบการเตือนภัย ตัวอย่างอุปกรณ์ทางวิสัญญีเช่น เครื่องดมยาสลบ และเครื่องช่วยหายใจจะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมการให้ออกซิเจน ยาดมสลบแก่คนไข้โดยมีอุปกรณ์การควบคุมระดับการไหลออกของ ก๊าซต่างๆอย่างถูกต้องเพื่อให้ระดับยาสลบสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วทำให้การควบคุมระดับการสลบได้ อุปกรณ์ติดตามระบบการทำงานของร่างกาย จะเป็นตัวบอกถึงสภาพระบบต่างๆของร่างกาย การตอบสนองของร่างกายต่อยา ระดับ ความลึกของการสลบ อุปกรณ์ดังกล่าวจะมีการตั้งระบบเตือนภัยเมื่อเกิดมีความผิดปกติเกิดขึ้นทำให้ทีมงานสามารถทราบเหตุการณ์ อย่างทันท่วงทีเช่นเมือคนไข้เริ่มมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นแสดงว่าผู้ป่วยอาจมีระดับยาสลบต่ำเกินไปหรือเป็นอาการตอบสนอง จากการสูญเสียโลหิต อุปกรณ์ติดตามระบบการทำงานของร่างกายจะมีอยู่หลายระบบหากท่านต้องการรายละเอียดดังกล่าวสามารถ สอบถามจากทีมวิสัญญี เครื่องดมยาสลบและอุปกรณ์ติดตามระบบการทำงานของร่างกายของโรงพยาบาลจะมีการบำรุงรักษาตลอดเวลาเพื่อให้สามารถ ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา |
การดูแลหลังการผ่าตัดและการให้ยาระงับความรู้สึก
หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาตัวอยู่ในห้องพักฟื้นเพื่อป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดกับผู้ป่วยได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะพบ (โดยเฉพาะในวันแรกๆของการผ่าตัด) ได้ มีดังนี้ - อาการคลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก เบาหวาน คนท้อง คนที่น้ำหนักมาก คนที่มักจะเมารถเมาเรือ - อาการเจ็บคอ เสียงแหบ ปวดศีรษะ มึนงง ซึมง่วงนอนปวดกล้ามเนื้อ อาการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยทุกราย แต่ก็พบได้บ่อย - อาการเจ็บปวดบริเวณแผลผ่าตัด เมื่อผู้ป่วยเริ่มตื่นดีอาจจะมีอาการเริ่มปวดแผลได้ ให้แจ้งกับทีมพยาบาลห้องพักฟื้นหรือ วิสัญญีแพทย์เพื่อให้ยาระงับปวด เมื่อผู้ป่วยฟื้นตัวพอ ภาวะแทรกซ้อนได้รับการรักษา สัญญาณชีพคงที่ อาการปวดได้รับการบรรเทาและได้รับการประเมิน ว่าแข็งแรงพอจึงส่งตัวผู้ป่วยกลับหอผู้ป่วยหรือให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ โดยปกติแล้วผู้ป่วยจะได้รับการสังเกตอาการในห้องฟักฟื้น ประมาณ 1-2 ชั่วโมง |
ความปลอดภัยและความเสี่ยงในการให้ยาระงับความรู้สึกหรือการให้ยาสลบ
เมื่อถามว่าการให้ยาระงับความรู้สึกหรือการให้ยาสลบมีความเสี่ยงหรือไม่ คำตอบก็คือ .....มี ความเสี่ยงทางวิสัญญีหรือภาวะแทรกซ้อนนั้นจะขึ้นอยู่กับความแข็งแรงหรือโรคประจำตัวของผู้ป่วย ชนิดของการผ่าตัดและ เทคนิคในการวางยาสลบ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากๆพบได้น้อยมากๆแต่ก็ยังสามารถพบได้ มีการประเมินความเสี่ยงในที่ผู้ป่วย แข็งแรงสมบูรณ์มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายถึงชีวิตพบได้ 1/151,000-1/244,000 หรือประมาณ 4-5 รายในทุกๆ การผ่าตัดหรือการให้ยาระงับความรู้สึก 1,000,000 ครั้ง เมื่อถามว่าความเสี่ยงดังกล่าวมากหรือไม่ ก็ขอตอบว่าสามารถเปรียบเทียบว่า โอกาสเสี่ยงเท่ากับโอกาสที่เราจะเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบินตกซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวน้อยกว่าการอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือการ เดินข้ามถนนอยู่ 25 เท่า หมายความว่าการให้ยาระงับความรู้สึกหรือการให้ยาสลบมีความปลอดภัยกว่าการขับรถยนต์หรือ การเดินข้ามถนนของคุณ 25 เท่า!!! เพราะฉะนั้นเมื่อเรายังต้องขับรถยนต์หรือต้องเดินข้ามถนนอยู่ทุกวันแล้วเรายังปลอดภัย ก็น่าจะทำให้ท่านคลายความวิตกกังวลไปได้ |